พระสมเด็จหลังอัญเชิญพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก (Pra somdej with Tripitaka back) และ
พระสมเด็จหลังอัญเชิญพระคาถาชินบัญชร จารึกพิเศษ (Pra somdej with Chinnabanchon back)

           วัตถุประสงค์ในการจัดสร้างวัตถุมงคล (Objectives)

           1. บูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานวัดมกุฏกษัตริยาราม
           2. บูรณสำนักสงฆ์อุทยานธรรมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ในหลวง ร.9 กิ่งอำเภอเฝ้าไร่ จังหวัดหนองคาย 

(ภาพถ่ายจริง) ตัวอย่างพระสมเด็จอัญเชิญหลังพระคาถาชินบัญชร เนื้อทองคำ (Gold with Chinnabanchorn back)

(ภาพถ่ายจริง) ตัวอย่างพระสมเด็จอัญเชิญหลังพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก เนื้อเงิน (Silver with Tripitika back)

(ภาพถ่ายจริง) ตัวอย่างพระสมเด็จอัญเชิญหลังพระคาถาชินบัญชร เนื้อผงเกศทะลุซุ้ม (Somdej Kate Talusum with Chinnabanchorn back)

(ภาพถ่ายจริง) ตัวอย่างพระสมเด็จอัญเชิญหลังพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก เนื้อผงน้ำมัน (Oil Powder with Tripitika back)

           เป็นครั้งแรกในวงการพระเครื่องไทย ที่ได้อัญเชิญพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ คือ พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกและ
พระคาถาชินบัญชร พร้อมด้วยพระสมเด็จที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่เคยสร้างไว้ และได้ชำรุดแตกหัก, ผง
พุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์, ผงพระเก่าจากกรุต่างๆ, ชนวนโลหะเก่าต่างๆ, ว่าน 108, เกษรดอกไม้, ผงกาฝาก, ผงไม้มงคลต่างๆ
และอัญเชิญพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก และพระคาถาชินบัญชรฉบับเต็มมาบรรจุไว้ด้านหลังของพระสมเด็จทุกเนื้อทุก
พิมพ์ ซึ่งสามารถอ่านออกได้อย่างชัดเจนเสมือนหนึ่งมียอดพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ติดตัวอยู่ตลอดเวลา พุทธานุภาพของพระ
คาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก และพระคาถาชินบัญชร เป็นสุดยอดของพระคาถาทั้งปวง เป็นมหามงคลครอบจักรวาล

           พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก (Pra Kata Tripitaka)

           ต้นฉบับเดิมเปิดกรุได้ที่เมืองสวรรคโลก (อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัยในปัจจุบัน) มีคำกล่าวในหนังสือนำว่า ผู้ใดมีไว้ประ
จำบ้านเรือนมีอานิสงส์ยิ่งกว่าได้สร้างพระเจดีย์ทองคำสูงเทียมเทวโลก และป้องกันภยันตรายต่างๆ ทำมาหากินเจริญ ผู้ใดสร้าง
ไว้สวดมนต์ สักการะบูชาเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ และจะมีความสุขสิริสวัสดิ์เจริญต่อไปทั้งในปัจจุบัน อนาคต และภายภาคหน้าด้วย
อำนาจของความเคารพในพระคาถานี้ สร้างครบ 7 วัน ครบอายุ จะหมดเคราะห์โศกทุกประการ

           ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกนี้ มีคำกล่าวไว้ในหนังสือว่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าผู้ใดได้สวดภาวนาทุกค่ำ-เช้า แล้วผู้นั้นจะไม่ตกอบาย
ภูมิ แม้ได้บูชาไว้กับบ้านเรือนก็จะป้องกันอันตรายต่างๆ จะภาวนาพระคาถาอื่นๆ สัก 100 ปี อานิสงส์ก็ไม่เท่าภาวนาพระคาถานี้
ครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าอินทร์พรหมยม ยักษ์ ที่มีอิทธิฤกษ์จะเนรมิตแผ่นอิฐเป็นทองคำก่อเป็นพระเจดีย์ตั้งแต่มนุษย์โลกสูงขึ้นไปจนถึง
พรหมโลก อานิสงส์ก็ยังไม่เท่าภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกนี้ และมีอธิบายคุณความดีไว้อีกหลายประการ ต้นฉบับเดิมซึ่งเปิด
กรุดได้ที่เมืองสวรรคโลกเป็นอักษรขอมจารึกไว้ในใบลาน ต่อมาจึงแปลเป็นภาษาไทย (พระภิกษุแสง) หลวงธรรมาธิกรณ์ได้มา
จากพระแท่นศิลาอาสน์ มณฑลพิษณุโลก

           ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกนี้ ถ้าผู้ใดบริจาคทรัพย์สร้างถวายพระภิกษุสามเณร หรือญาติมิตรสหาย หรือสวดจนครบ 7 วัน
หรือครบอายุปัจจุบันของตน จะบังเกิดโชคลาภ ทำมาค้าขายเจริญ พ้นเคราะห์และภัยพิบัติทั้งปวง

           พระคาถาชินบัญชร (Pra Kata Chinnabanchorn)

           พระคาถาชินบัญชรนี้เป็นคาถาชินบัญชรนี้เป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ตกทอดมาจากลังกา เจ้าประคุณสมเด็จฯ ค้นพบ
ในคัมภีร์โบราณได้แก้ไขแต่งเติมให้ดีขึ้น ได้เนื้อถ้อยกระทงความสมบูรณ์ แปลออกมาแล้วมีแต่สิ่งสิริมงคลแก่ผู้สวดภาวนาทุก
ประการ พระคาถานี้เป็นการอัญเชิญพระพุทธานุภาพแห่งพระบรมศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าที่ได้
เคยตรัสรู้ก่อนหน้านั้น จากนั้นเป็นการอัญเชิญพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้สำเร็จคุณธรรมวิเศษแต่ละองค์ที่ไม่เหมือนกัน นอกนั้นยัง
อัญเชิญพระสูตรต่างๆ ที่โบราณจารย์เจ้าถือว่า เป็นพระพุทธมนต์อันวิเศษแต่ละสูตรมารวมกันสอดคล้องเป็นกำแพงแก้วคุ้มกัน
ตั้งแต่กระหม่อมจอมขวัญของผู้ภาวนาพระคาถาลงมาจนล้อมรอบตัวจนกระทั่งหาช่องโหว่ให้อันตรายสอดแทรกเข้ามามิได้

           อานุภาพแห่งพระคาถาชินบัญชรนี้ ผู้ใดได้สวดภาวนาเป็นประจำอยู่สม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลสมบูรณ์
พูนผล ศัตรูหมู่พาลไม่กล้ากล้ำกราย ไปทางใดย่อมเกิดเมตตามหานิยม เกิดลาภผลพูนทวี ขจัดภัยจากภูตผีปิศาจ ตลอดจนคุณ
ไสยต่างๆ ทำน้ำมนต์รดแก้สรรพโรคภัย เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตมีคุณานุภาพตามแต่จะปรารถนาดังคำโบราณว่า "ฝอยท่วมหลัง
ช้าง" จะเดินทางไปที่ใดๆ สวด 10 จบแล้วอธิษฐานจะสำเร็จสมดังใจ

           พิธีพุทธาภิเษก ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฏาคม 2548
           สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม ประธานจุดเทียนชัย เวลา 15.39 น.
           Chanting at Wat Makuthkasatiyaram, On July 17,2005 (Sunday)